สมัยรัชกาลที่ 7 ถึงรัชกาลปัจจุบัน
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ค.ศ. 1925 - 1934(พ.ศ. 2468 - 2477) และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ค.ศ. 1934- 1946 (พ.ศ. 2477 - 2489) ประเทศไทยประสบวิกฤตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก รัฐบาลจึงต้องประหยัดค่าใช้จ่ายการพัฒนาประเทศจึงเกิดภาวะหยุดชะงัก นอกจากนั้นยังเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยใน พ.ศ. 2475ท่ามกลางสถานการณ์ของประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว การศึกษาคาทอลิกได้ขยายการจัดการทั้งในเมืองหลวงและในต่างจังหวัด เพราะจำนวนคาทอลิกเพิ่มขึ้น และชาวไทยตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษามากขึ้นด้วย ดังจะเห็นได้ว่า ภคินีคณะเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตรขยายกิจการโรงเรียนเพิ่มขึ้น มีโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ ที่สามเสนโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ โรงเรียนซางตาครู้สคอนแวนท์ที่กรุงเทพฯ และโรงเรียนเซนต์ปอล แผนกหญิงที่แปดริ้ว (ปัจจุบัน คือโรงเรียนเซนต์แอนโทนีฉะเชิงเทรา ภราดาคณะเซนต์คาเบรียล ได้เปิดโรงเรียนที่สามเสน โรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชยการโรงเรียนเซนต์ปอล แปดริ้ว (ปัจจุบันคือโรงเรียนเซนต์หลุยส์ ฉะเชิงเทรา) โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัยเชียงใหม่ โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา เป็นต้น ส่วนบาทหลวงคณะซาเลเซียนซึ่งได้เดินทางเข้ามายังกรุงเทพฯ เมื่อ ค.ศ. 1927 (พ.ศ. 2470) เพื่อทำงานแพร่ธรรมและจัดการศึกษาอบรมเยาวชนด้านวิชาชีพ สังกัดอาชีวศึกษา ด้วยการจัดตั้งโรงเรียนอาชีวะดอนบอสโก (Don Bosco) ในกรุงเทพฯ ต่อมาได้เปิดโรงเรียนเซนต์ดอมินิก (St. Dominic) ที่กรุงเทพฯ เช่นเดียวกัน เป็นโรงเรียนระดับประถมและมัธยมศึกษา และยังได้ขยายโรงเรียนไปยังต่างจังหวัดด้วย เช่น โรงเรียนสารสิทธิ์พิทยาลัย จังหวัดราชบุรี และโรงเรียนแสงทองวิทยาลัย จังหวัดสงขลา เป็นต้น
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว คณะภคินีและภราดาได้ตอบรับเชิญเข้ามาแพร่ธรรมและจัดการศึกษาเพิ่มขึ้นตามลำดับ เป็นต้นว่า ใน ค.ศ. 1931 (พ.ศ. 2474) คณะภคินีธิดาแม่พระองค์อุปถัมภ์ เข้ามารับผิดชอบโรงเรียนนารีวุฒิ บ้านโป่ง จังหวัดราชบุรีโรงเรียนธิดานุเคราะห์ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โรงเรียนมารีย์อุปถัมภ์ จังหวัดนครปฐมโรงเรียนเซนต์เมรี จังหวัดอุดรธานี โรงเรียนพระวิสุทธิวงศ์ และโรงเรียนอนุบาลมหาไถ่บ้านดุง จังหวัดอุดรธานี
ต่อมาในรัชกาลปัจจุบันบรรดาคณะภราดาและภคินีก็ยังเข้ามาทำงานและจัดการศึกษาในประเทศไทย ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เช่น ใน ค.ศ. 1951 (พ.ศ.2494)คณะภราดาลาซาล ได้จัดตั้งโรงเรียนลาซาลโชติรวี จังหวัดนครสวรรค์ โรงเรียนมารดาพิทักษ์ จังหวัดจันทบุรี โรงเรียนลาซาล บางนา กรุงเทพฯ และคณะภคินีลาซาลจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยที่บางนา กรุงเทพฯ ในปีเดียวกันนี้ คณะสงฆ์พระหฤทัยแห่งเบธาราม ได้เข้ามาทำงานอภิบาลและเผยแผ่ศาสนา ชาวไทยภูเขาในภาคเหนือ และเปิดโรงเรียนระดับประถมและมัธยมศึกษาแก่เด็กชาวไทยภูเขาและคนพื้นเมืองในภาคเหนือใน ค.ศ. 1952 (พ.ศ. 2495) คณะสงฆ์รอยแผลศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้าได้รับเชิญเข้ามาทำงานยังประเทศไทย รับผิดชอบโรงเรียนดาวรุ่งวิทยา จังหวัดภูเก็ต โรงเรียนศรีอรุโณทัยจังหวัดระนอง และโรงเรียนดรุโณทัย จังหวัดตรัง คณะสงฆ์เยสุอิต ซึ่งมีบทบาทสำคัญในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้กลับเข้ามาทำงานแพร่ธรรมในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่งใน
ค.ศ.1954 (พ.ศ.2497) รับผิดชอบงานอภิบาลนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยและเป็นอาจารย์สอนตามมหาวิทยาลัย มีศูนย์กลางอยู่ที่ “บ้านเซเวียร์” กรุงเทพฯ และ “สวนเจ็ดริน” จังหวัดเชียงใหม่ในปี ค.ศ. 1957 (พ.ศ. 2500) ภคินีคณะพระกุมารเยซู ได้เดินทางกลับเข้ามาปฏิบัติงานอีกวาระหนึ่งหลังจากได้เลิกกิจการไปเมื่อ ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) และรับผิดชอบการศึกษา โรงเรียนพระกุมารเยซูวิทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนพาณิชยการเลขานุการ โรงเรียนมหาไถ่ศึกษา โรงเรียนแมรีอิมมาคูเล็ตคอนแวนต์ จังหวัดชลบุรี โรงเรียนมารีย์อุปถัมภ์จังหวัดชัยภูมิ และโรงเรียนมหาไถ่ศึกษา จังหวัดขอนแก่น ส่วนภคินีคณะรักกางเขนซึ่งเป็นนักบวชหญิงพื้นเมืองที่ก่อตั้งขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้ดำเนินกิจการงานของโบสถ์ต่าง ๆ มีงานอบรมบ่มสอนเยาวสตรีและแม่บ้าน และรับผิดชอบจัดการศึกษาด้วยการเปิดโรงเรียนระดับประถมและมัธยมศึกษาจำนวนมากทั้งในภาคตะวันออก (คณะภคินีรักกางเขนแห่งจันทบุรี) ตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง (คณะภคินีรักกางเขนแห่งอุบลราชธานี) และตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน (คณะภคินีรักกางเขนแห่งท่าแร่) และยังช่วยกิจการโรงเรียนของสังฆมณฑลจันทบุรี สังฆมณฑลนครสวรรค์ สังฆมณฑลอุบลราชธานี อัครสังฆมณฑลท่าแร่ - หนองแสง และสังฆมณฑลอุดรธานี เป็นต้น ภคินีคณะพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ เป็นคณะนักบวชหญิงพื้นเมืองก่อตั้งขึ้นสมัยรัตนโกสินทร์ ในปี ค.ศ. 1900(พ.ศ.2443) รับผิดชอบกิจการงานของโบสถ์ต่างๆ อบรมเยาวสตรี แม่บ้าน และจัดการศึกษาในเขตภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้บางส่วน เช่น โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ กรุงเทพฯโรงเรียนพระหฤทัยดอนเมือง โรงเรียนพระหฤทัยสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย โรงเรียนพระหฤทัยนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี และยังช่วยเหลือกิจการโรงเรียนของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ สังฆมณฑลเชียงใหม่ สังฆมณฑลราชบุรี สังฆมณฑลนครสวรรค์ เป็นต้น
ภคินีคณะผู้รับใช้ดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์ เป็นคณะนักบวชหญิงพื้นเมืองก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2480 รับผิดชอบงานในเขตภาคใต้ของประเทศไทยด้านกิจการงานของโบสถ์ต่าง ๆ รวมทั้งอบรมเยาวสตรี แม่บ้าน และจัดการศึกษา รับผิดชอบจัดการศึกษาโรงเรียนธิดาแม่พระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โรงเรียนอนุบาลนิรมล จังหวัดชุมพร โรงเรียนนารีวิทยา จังหวัดราชบุรี โรงเรียนดรุณศึกษา จังหวัดนครศรีธรรมราช โรงเรียนถนอมศรีศึกษา จังหวัดยะลา และช่วยเหลือกิจการโรงเรียนของสังฆมณฑลราชบุรีและสังฆมณฑลสุราษฎร์ธานี เป็นต้น
ภคินีคณะธิดาพระราชินีมาเรียผู้นิรมล เป็นคณะนักบวชหญิงพื้นเมืองก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2497 รับผิดชอบงานในเขตภาคกลางของประเทศไทย ด้านกิจการงานของโบสถ์สอนเยาวสตรี แม่บ้าน และจัดการศึกษา รับผิดชอบจัดการศึกษาโรงเรียนพระแม่มารีสาทร กรุงเทพฯ โรงเรียนพระแม่มารี สาธุประดิษฐ์ กรุงเทพฯ โรงเรียนพระแม่มารี พระโขนงกรุงเทพฯ โรงเรียนพระแม่มารี ประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และช่วยเหลือกิจการโรงเรียนของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ สังฆมณฑลเชียงใหม่ และสังฆมณฑลสุราษฎร์ธานี
นอกจากการจัดการศึกษาของมิชชันนารี คณะภคินีและภราดาจากต่างประเทศและคณะภคินี หรือนักบวชหญิงพื้นเมืองดังที่กล่าวมาแล้ว ยังมีโรงเรียนของสังฆมณฑลและโรงเรียนของฆราวาสคาทอลิกอีกเป็นจำนวนมาก ดังจะเห็นได้ว่า อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ และสังฆมณฑลอีก 9 แห่ง คือ สังฆมณฑลจันทบุรี สังฆมณฑลเชียงใหม่ สังฆมณฑลนครสวรรค์ สังฆมณฑลราชบุรี สังฆมณฑลสุราษฎร์ธานี อัครสังฆมณฑลท่าแร่ - หนองแสงสังฆมณฑลอุบลราชธานี สังฆมณฑลนครราชสีมา และ สังฆมณฑลอุดรธานี รวมมีโรงเรียนในสังกัด 121 โรง ส่วนโรงเรียนฆราวาสคาทอลิกมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 88 โรง เมื่อรวมกับโรงเรียนของคณะนักบวชที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจำนวน 98 โรง จึงสรุปได้ว่าโรงเรียนคาทอลิกในประเทศไทยในปีการศึกษา 2540 มีจำนวน 307 โรง
กล่าวโดยสรุปการศึกษาคาทอลิกในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันเป็นยุคที่เจริญเติบโตขึ้นมาก มีคณะนักบวชชาย - หญิง จากต่างประเทศได้รับเชิญเข้ามาช่วยจัดการศึกษาและงานแพร่ธรรมเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ในขณะเดียวกันคณะนักบวชพื้นเมืองก็เพิ่มจำนวน และมีความเข้มแข็งในการจัดการศึกษา นับเป็นการเพิ่มกำลังมาร่วมบริหารจัดการศึกษาได้ดีมีคุณภาพอย่างเห็นได้ชัด เป็นเหตุให้ผู้ปกครองเห็นคุณค่าของการศึกษาคาทอลิก จึงส่งบุตรธิดาเข้าเรียนมากขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้เพราะเมื่อกล่าวถึงการศึกษาคาทอลิก ผู้ปกครองจะคิดถึงคุณภาพการศึกษา เน้นการปลูกฝังอบรมให้ผู้เรียนมีวินัย มีความรู้ ความสามารถ โดยเฉพาะในการเรียนภาษาต่างประเทศที่มีคุณภาพสูงเน้นการอบรมคุณธรรม จริยธรรม จึงกล่าวได้ว่า ปรัชญาการศึกษาคาทอลิกเน้นการพัฒนาคนให้เป็นคนดี มีความรับผิดชอบต่อสังคม หลักสูตรการเรียนการสอนมีความเป็นสากลและสามารถปรับประยุกต์ใช้ได้กับคนต่างชาติต่างวัฒนธรรม และที่สำคัญที่สุดคือ เชื่อว่าครูเป็นหัวใจของการจัดการศึกษา จึงให้ความสำคัญกับการผลิตและพัฒนาครู อบรมเรื่องจิตตารมณ์ครู และยกย่องให้เกียรติครู