สมัยรัชกาลที่ 5 และที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ค.ศ. 1868-1910 (พ.ศ. 2411 -2453) ได้เสด็จประพาสยุโรป และทรงนำประสบการณ์จากการเสด็จประพาสกลับมาพัฒนาประเทศสยามในหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรงเล็งเห็นความสำคัญของการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพตามมาตรฐานตะวันตก จึงทรงสนับสนุนให้บาทหลวงคาทอลิกเปิดโรงเรียน ในช่วงระยะเวลาเดียวกันนั้น พระสังฆราชเวย์ (Vey) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสังฆราช ช่วง ค.ศ. 1875 - 1909 (พ.ศ. 2418 - 2452) ท่านเน้นความสำคัญของการจัดการศึกษาที่ดี มีคุณภาพ เพื่ออบรมสั่งสอนให้เยาวชนเป็นคนดีมีคุณธรรม อีกทั้งท่านยังเห็นว่า ชาวยุโรปที่พำนักอยู่ในสยามมีจำนวนเพิ่มขึ้น เพราะย้ายเข้ามาอยู่กับครอบครัว และมีปัญหาเรื่องการศึกษาของบุตรหลาน จึงจัดตั้งสถาบันการศึกษาแบบยุโรป เพื่ออบรมสั่งสอนลูกหลานชาวยุโรป และรวมถึงลูกหลานชาวสยามที่ร่ำรวยด้วยโดยแสวงหาครูซึ่งสามารถสอนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาต่างประเทศที่ใช้มากที่สุดในขณะนั้น และสามารถสอนเป็นภาษาฝรั่งเศสด้วย สถาบันการศึกษาในลักษณะดังกล่าวคือ :-
โรงเรียนอัสสัมชัญ บาทหลวงกอลมเบต์ (Colombet) ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสโบสถ์อัสสัมชัญอยู่ในขณะนั้นได้จัดตั้งโรงเรียนประจำโบสถ์ โดยใช้อาคารบ้านเณร ซึ่งอยู่ติดกับโบสถ์เป็นสถานศึกษา ต่อมาด้วยเหตุที่ท่านเห็นความสำคัญของการศึกษาและต้องการให้เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษาอย่างดี พร้อมทั้งได้รับความเห็นชอบจากพระสังฆราชเวย์จึงจัดตั้งวิทยาลัยอัสสัมชัญ (Assumption College) ขึ้นใน ค.ศ. 1885 (พ.ศ. 2428) แทนโรงเรียนประจำโบสถ์เดิม โดยจัดหลักสูตรการเรียนการสอนเป็น 3 ภาษา คือ ภาษาไทยภาษาฝรั่งเศส และภาษาอังกฤษ เปิดรับเด็กชายทั่วไปในพระนคร วันแรกที่เปิดเรียนมีนักเรียนเพียง 33 คน ตอนสิ้นปีแรกนักเรียนเพิ่มเป็น 80 คน และเพิ่มขึ้นตามลำดับ มีครูชาวอังกฤษและครูไทยเป็นผู้สอนร่วมกับมิชชันนารีชาวฝรั่งเศส นักเรียนที่เข้าเรียนในโรงเรียนอัสสัมชัญ ระยะแรกเป็นคริสตังจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่ง และเป็นลูกครึ่งยุโรปส่วนที่เหลือมาจากครอบครัวผู้มีอันจะกิน หรือลูกชายครอบครัวชาวสยามที่มาจากตระกูลเก่าแก่
โรงเรียนสตรีอำนวยการสอนโดยภคินีคณะพระกุมารเยซู ขณะเดียวกันกับการเปิดโรงเรียนอัสสัมชัญ พระสังฆราชเวย์ได้แสวงหาหนทางเปิดโรงเรียนสำหรับเด็กหญิงลูกหลานชาวยุโรป จึงติดต่อคณะเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร (St. Paul de Chartres) ที่ไซ่ง่อนแต่ขณะนั้นคณะภคินีไม่ว่าง เพราะเกิดสงครามตังเกี๋ย ฝรั่งเศสขอให้บรรดาภคินีไปช่วยพยาบาลทหารที่ได้รับบาดเจ็บ จึงได้ขอให้ภคินีคณะพระกุมารเยซู (Holy Infant Jesus) หรือคณะแซงต์ มอร์ (St. Maur) ซึ่งปฏิบัติงานอยู่ที่สิงคโปร์มาช่วย โรงเรียนจึงเปิดดำเนินการในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1885 (พ.ศ. 2428) มีคุณแม่เฮเลน เป็นอธิการเมื่อโรงเรียนเริ่มเปิดกิจการ มีนักเรียน 20 คน เป็นลูกหลานชาวยุโรปทั้งสิ้น สามปีต่อมามีนักเรียน 82 คน เป็นลูกหลานชาวยุโรปและชาวจีน ยังไม่มีลูกหลานชาวสยามมาเรียนสิบปีต่อมาลูกหลานชาวสยามจึงเริ่มเข้ามาเรียนกันบ้าง และในที่สุดลูกหลานชาวสยามก็ได้รับประโยชน์จากโรงเรียนอย่างเต็มที่
ภคินีคณะเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร และโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์เมื่อพระสังฆราชเวย์ติดต่อขอภคินีมาทำงานในโรงเรียนสำหรับเด็กหญิงนั้นท่านยังต้องการให้ภคินีทำงานในโรงพยาบาลที่มิสซังมีโครงการเปิดด้วย และให้ภคินีทำงานในโรงเรียนและโรงพยาบาลเป็นสมาชิกคณะเดียวกัน จึงให้ภคินีคณะพระกุมารเยซู ดูแลโรงพยาบาลด้วย แต่ไม่นานหลังจากนั้นคณะพระกุมารเยซูถอนตัวไป พระสังฆราชเวย์จึงขอให้ภคินีคณะเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร มาดูแลโรงพยาบาล และบริหารสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชาวยุโรปที่ตั้งอยู่ใกล้โบสถ์อัสสัมชัญและนักเรียนประจำของโรงเรียน ภคินีเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตรกลุ่มแรกเข้ามาถึงกรุงเทพฯ ใน ค.ศ. 1898 (พ.ศ. 2441) พร้อมอธิการิณี และในปีเดียวกันนั้นก็มีพิธีเปิดโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ อย่างเป็นทางการ
ภราดาคณะเซนต์คาเบรียล (St. Gabriel) พระสังฆราชเวย์ ต้องการให้มิชชันนารีและบาทหลวงทุกองค์ทำงานอภิบาลคริสตชน และทำงานเผยแผ่ศาสนากับคนต่างศาสนา ดังนั้นมิสซังจึงไม่สามารถรับผิดชอบโรงเรียนอัสสัมชัญได้อีกต่อไป บาทหลวงกอลมเบต์จึงเดินทางไปยังประเทศฝรั่งเศสเพื่อติดต่ออธิการคณะเซนต์คาเบรียล ในที่สุดภราดาหลุยส์จากไซ่ง่อน จึงเดินทางเข้ามายังกรุงเทพฯ ใน ค.ศ. 1900 (พ.ศ. 2443) เพื่อบริหารโรงเรียนอัสสัมชัญ ซึ่งประกอบด้วยแผนกนักเรียนไป - กลับ แผนกนักเรียนประจำ และแผนกเด็กกำพร้า
โรงเรียนของภราดาและภคินี รวมทั้งโรงเรียนของโปรเตสแตนต์ เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะประเทศสยามในช่วงระยะนั้นต้องการการศึกษาเป็นอย่างมากพระมหากษัตริย์ไทยในขณะนั้นทรงตระหนักดีว่าชาวตะวันตกได้เปรียบเพราะระดับการศึกษาของพวกเขา ใน ค.ศ. 1884 (พ.ศ. 2427) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงจัดตั้งโรงเรียนสำหรับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก โรงเรียนอีกหลายแห่งจึงเริ่มเปิดขึ้นตามความสามารถของรัฐบาล
โรงเรียนของภคินีคณะอุร์สุลิน (Ursuline) เมื่อโรงเรียนอัสสัมชัญซึ่งบริหารโดยภราดาคณะเซนต์คาเบรียล และโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ บริหารโดยภคินีคณะเซนต์ปอลเดอ ชาร์ตร ได้รับความนิยมในด้านการฝึกอบรมเป็นอย่างมาก จนมีจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พระสังฆราชแปร์รอส (Rene' Marie Joseph Perros) ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นสังฆราชใน ค.ศ. 1910 (พ.ศ. 2453) เห็นว่าภคินีคณะเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร ไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้หมด จึงติดต่ออธิการิณีคณะอุร์สุลิน (Ursuline) เพื่อขอให้ส่งภคินีมาสอนในโรงเรียน ในที่สุดภคินี 4 ท่านจากยุโรปเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ในช่วงสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ค.ศ. 1924 (พ.ศ. 2467) และรับหน้าที่ดูแลโรงเรียนที่วัดกาลหว่าร์ (Calvary Church)ภคินีคณะอุร์สุลินเริ่มทำงานแพร่ธรรมและรับผิดชอบงานอภิบาลเด็กหญิงในประเทศสยามตั้งแต่บัดนั้น เริ่มที่โรงเรียนกุหลาบวัฒนาและเปิดโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย ค.ศ. 1928(พ.ศ. 2471) โรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย ที่จังหวัดเชียงใหม่ และโรงเรียนวาสุเทวี นอกจากนี้โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยยังได้มีโอกาสถวายการศึกษาในระดับปฐมวัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 2 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลและพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช