กล่าวโดยสรุปในช่วงต้นของกรุงรัตนโกสินทร์เป็นช่วงของการฟื้นฟู บรรดามิชชันนารีทำงานหนักและต่อเนื่อง ได้แสวงหาวิธีในการจัดการศึกษา และสอนศาสนาให้แก่ชาวไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินสยาม ในที่สุดได้ค้นพบว่าการจัดการศึกษาระดับประถมศึกษาเป็นนโยบายที่สำคัญ จึงถือว่าเป็นหน้าที่ของมิชชันนารีทุกคนที่จะเปิดโรงเรียนระดับประถมขึ้นในทุกโบสถ์ ทั้งในเมืองหลวงและต่างจังหวัด
พระสังฆราชปัลเลอกัวซ์ได้ให้รายละเอียดเพื่อให้บรรดามิชชันนารีนำไปใช้ในโรงเรียนคาทอลิก หรือโรงเรียนของโบสถ์ (Parish schools) สำหรับครูผู้สอนทั้งชายและหญิงโดยออกกฎไว้ดังนี้คือ :-
ครูต้องสอนนักเรียนในเรื่องต่อไปนี้
1. สอนให้รู้จักทั้งตัวอักษรโรมันและตัวอักษรภาษาสยาม
2. สอนคำสอน
3. สอนหนังสืออื่น ๆ ที่พิมพ์โดยมิสซัง
4. ต้องสอนให้นักเรียนอ่านออกเขียนได้ (ส่วนเด็กหญิงเรื่องการเขียนขึ้นอยู่กับารตัดสินใจของบาท- หลวงว่าจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องอะไรที่เป็นประโยชน์)
5. ครูต้องสอนขับร้องภาษาละตินให้เด็ก ๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้งนอกจากนั้นเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ครูผู้ชายและครูผู้หญิงจะฝึกหัดนักเรียนขับบทกลอนเป็นภาษาสยาม
6. จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และจะนำความยินดีมาสู่พ่อแม่ หากครูผู้หญิงจะอบรมสั่งสอนให้เด็กผู้หญิงรู้จักเย็บปักถักร้อย และงานอื่น ๆ ที่เหมาะสมสำหรับเด็กผู้หญิง”
นอกจากนี้ยังมีบทลงโทษเด็ก ที่พระสังฆราชปัลเลอกัวซ์ได้กำหนดไว้อย่างน่าสนใจที่ครูในปัจจุบันน่าจะนำมาพิจารณาไตร่ตรอง คือ “ตามธรรมชาติของเด็ก ๆ ชอบเล่นมากกว่าเรียน ดังนั้นครูจึงต้องเอาใจใส่ดูแลไม่เฆี่ยนตีเด็กด้วยอารมณ์ หรือด้วยท่าที่หยาบคาย หรือด้วยความโมโหโทโส เมื่อเด็กประพฤติตนไม่เหมาะสม เพราะจะทำให้พวกเขาขยาดโรงเรียนและการศึกษาเล่าเรียน ครูต้องไม่เฆี่ยนตีเด็ก ๆ เมื่อเขาทำความผิดที่ไม่ร้ายแรง นอกจากเด็กจะทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ครูจะเฆี่ยนตีเด็กก็ต่อเมื่อเด็กเหล่านั้นทำความผิดร้ายแรงและในทุกกรณีที่บาทหลวงตัดสินว่าจำเป็นจะต้องมีการผ่อนผันสำหรับเยาวชนที่เพิ่งเข้าเรียนใหม่” และยังมีกฎเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กทำผิดศีลธรรมที่ว่า “ครูต้องไม่อนุญาตให้เด็กสองคนที่ขอออกจากห้องเรียนไปทำธุระส่วนตัวพร้อมกันเด็ดขาด เด็กที่ต้องการออกนอกห้องต้องรอจนกว่าเด็กที่ออกไปก่อนกลับมา”
ในสมัยนั้นเด็กชายและเด็กหญิงแยกกันเรียนคนละโรงเรียนและถือเป็นเรื่องเคร่งครัดมาก เพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะกันระหว่างเด็กชายและเด็กหญิง ดังมีกฎห้ามไว้ดังนี้ :
“ห้ามเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงเล่นด้วยกัน แม้ในที่สาธารณะ และต้องถือเรื่องนี้ด้วยความซื่อสัตย์ เด็กทั้งสองเพศจะไม่สนทนากันด้วยภาษาที่แสดงความเป็นกันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามเด็กทั้งสองเพศอาบน้ำร่วมกันเป็นอันขาด”